วิธีการที่ดีในการเพิ่มการรอดชีวิตของลูกสุกร เพื่อให้ได้จำนวนลูกหย่าต่อแม่นั้น มีปัจจัยหลักคือแม่สุกรที่เลี้ยงลูกนั้นต้องสุขภาพดี ซึ่งจะต้องให้อาหารที่เหมาะสมและการจัดการที่ถูกต้องตลอดระยะเวลาเลี้ยงลูก ถึงแม้ว่าการปรับเปลี่ยนการจัดการในแม่ที่ให้ลูกดกนั้นจะเห็นผลช้าและไม่ง่ายเลย แต่ถ้าเราจัดการได้ถูกวิธีจะช่วยทำให้ผลผลิตของฝูงดีขึ้นได้แน่นอน

      การช่วยให้ได้ลูกมีชีวิตที่มากขึ้นนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนคลอด โดยย้ายแม่รอคลอดที่สุขภาพดีให้อยู่ในสภาพอากาศที่เหมาะสม และย้ายให้ถูกเวลาก่อนถึงกำหนดคลอด ซึ่งแม่รอคลอดควรได้รับอาหาร 3.3-4.0 กิโลกรัมต่อวันจนกว่าจะคลอด โดยให้เป็นเวลา อาจ 3 มื้อ หรือมากกว่านั้น และในอาหารควรมีปริมาณไฟเบอร์(แบบละลายน้ำและไม่ละลายน้ำ) 500-600 กรัมต่อวัน อีกทั้งการมีคนเฝ้าคลอดเพื่อช่วยทำคลอดและดูแลลูกแรกเกิดที่ตัวเล็กนั้น ก็สามารถช่วยเพิ่มการรอดชีวิตของลูกสุกรได้

      ซึ่งระหว่างการคลอด สิ่งสำคัญคือลูกทุกตัวต้องได้รับนมน้ำเหลืองและความอบอุ่น โดยต้องมั่นใจว่าลูกสุกรได้รับนมน้ำเหลืองอย่างเพียงพอ ซึ่งสามารถทำได้โดยการแบ่งลูกสุกรให้ดูดนมแม่เป็นกลุ่มๆ(Split suckling) หรือย้ายลูกตัวเล็กไปให้แม่ที่มีลูกน้อยแต่ยังมีนมน้ำเหลืองอยู่ อีกทั้งการเกลี่ยจำนวนลูกหรือจัดไซส์ลูกควรทำให้เสร็จภายใน 8 ชั่วโมง และอาจช่วยโดยการเปิดไฟกกในกล่องกกหรือพื้นที่ที่ลูกนอน

      และหลังคลอดที่เป็นแบบแผนและสามารถทำได้จริง

      สาเหตุการตายของลูกสุกรแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ทั่วโลก อย่างเช่นในเดนมาร์ก 3 อันดับสาเหตุที่ทำให้ลูกสุกรอายุ 4 วันแรกตาย เกิดจากโดนแม่ทับ47%  เกิดจากขาดนมหรือพลังงาน 18%  และเกิดจากอ่อนแอตาย 18% ส่วนในลูกอายุ 5 วันจนถึงหย่านม มักตายจากติดเชื้อในกระแสเลือด 31% ลูกป่วย ไม่แข็งแรง 13% และโดนทับ 13%

      ค่าเฉลี่ยจำนวนลูกทั้งหมดของแม่สุกรสายพันธุ์เดนมาร์กในปัจจุบันสูงถึง 19.4 ตัว/แม่ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งการที่มีจำนวนลูกเยอะขึ้นทำให้พบลูกตัวเล็กที่น้ำหนัก 400-800 กรัม มากขึ้น 1.3% ในปี 2002 จนถึง 10-14% ในปัจจุบัน แต่ในปัจจุบันความสำเร็จในการทำให้มีลูกมีชีวิตที่อายุ 5 วันนั้น ทำให้ลูกที่ตัวเล็กมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าในอดีต และหากยิ่งใส่ใจหรือปฏิบัติตามการจัดการที่ถูกต้อง จะยิ่งทำให้ลูกสุกรมีโอกาสรอดชีวิตขึ้นอีก

การเปลี่ยนจากลูกตายแรกคลอดเป็นลูกมีชีวิต

      60%ของลูกตายแรกคลอด มักตายในระหว่างการคลอด ซึ่ง 60% ของลูกตายแรกคลอด ซึ่งเทียบได้กับลูก 1.1 ตัวต่อแม่นั้น ยังมีชีวิตอยู่ในตอนที่แม่กำลังเริ่มคลอด ซึ่งหากกระบวนการคลอดของแม่เป็นปกติและได้รับการช่วยเหลือในระหว่างคลอด ก็จะทำให้มีโอกาสได้ลูกมีชีวิตเพิ่มขึ้น

      กระบวนการคลอดที่ปกติของแม่เริ่มต้นจากสุขภาพแม่รอคลอดที่ดีและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม โดยควรมีค่าความหนาไขมันสันหลัง(Back fat) ในขณะคลอดที่ 16-19 มิลลิเมตร และแม่สุกรควรย้ายเข้าเล้าคลอด 5-7 วันก่อนถึงกำหนดคลอด เพื่อลดความเครียด นอกจากนั้นอาจเสริมหญ้าหรือวัสดุอื่น ที่ช่วยเสริมพฤติกรรมการทำรังในช่วงก่อนคลอดเพื่อลดความเครียดระหว่างคลอดได้เช่นกัน

      นอกจากนั้นการให้อาหารก็ส่งผลถึงกระบวนการคลอดของแม่ได้ โดยต้องให้ในปริมาณและสัดส่วนที่ถูกต้อง โดยการศึกษาที่ผ่านมา พบว่าแม่ที่ได้รับอาหาร 3.3-4.0 กิโลกรัมต่อวัน (ME: 12.9 MJ/kg; 164 g CP/kg) ในช่วงรอคลอด จะทำให้ระยะเวลาระหว่างการคลอดสั้นลง ลูกตายแรกคลอดลดลงและทำให้มีนมน้ำเหลืองมากขึ้น (Feyera et al., 2018) อีกทั้งเวลาในการให้อาหาร เพื่อที่จะคงระดับน้ำตาลในเลือดให้สูงเพียงพอสำหรับกระบวนการคลอดนั้น ควรให้อย่างน้อย 3 ครั้งต่อวัน โดยแบ่งช่วงเวลาให้เท่าหรือใกล้เคียงกัน เช่น 7.00น. 15.00น. และ 20.00น. ส่วนอาหารที่ให้ก็ควรมีสัดส่วนของไฟเบอร์ที่เหมาะสม เพราะไฟเบอร์สามารถให้พลังงานได้ยาวนานมากกว่าแป้ง จึงแนะนำประมาณ 500-600 กรัมต่อวัน

      ในฟาร์มที่มีการทำงาน 24 ชั่วโมงนั้น มีจำนวนลูกตายแรกคลอดที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากมีการเฝ้าคลอดหรือช่วยคลอดได้ทุกแม่และช่วยให้ลูกที่อ่อนแอได้รับนมน้ำเหลืองอย่างเพียงพอ อีกทั้งการช่วยเกลี่ยลูกมีชีวิตก็ช่วยทำให้ลูกแต่ละตัวได้รับน้ำนมที่เพียงพอ โดยเฉพาะในคอกที่มีลูกเยอะเกินเต้านมแม่ แต่ในบางฟาร์มที่ไม่สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง อาจจะสลับชั่วโมงทำงานของพนักงานแทน ซึ่งใน SEGES Pig Research Centre ก็กำลังศึกษาโดยการใช้กล้องวีดีโอในการช่วยเฝ้าคลอดเพื่อช่วยลดลูกตายแรกคลอดอยู่ด้วยเช่นกัน

ประเด็นสำคัญ

  1. แม่สุขภาพดี
  2. ความหนาไขมันสันหลังแม่อุ้มท้อง ควรมี 14-15 มิลลิเมตร (ก่อนย้ายเข้าเล้าคลอด)
  3. ย้ายเข้าเล้าคลอด 5-7 วันก่อนถึงกำหนดคลอด
  4. ให้หญ้าหรือวัสดุอื่น ๆเสริมก่อนคลอด
  5. ให้อาหาร 3.3-4.0 กิโลกรัมต่อวัน
  6. ให้อาหาร 3 มื้อต่อวัน (เว้นช่วงเวลาให้เท่ากัน)
  7. อาหารควรมีไฟเบอร์ 500-600 กรัมต่อวัน
  8. มีการเฝ้าคลอดและช่วยคลอดเมื่อจำเป็น

การจัดการลูกสุกรแรกคลอด

      ปริมาณนมน้ำเหลืองและอุณหภูมิเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการมีชีวิตรอดของลูกสุกรแรกคลอดจนถึงหย่านม โดยเฉพาะในคอกที่มีจำนวนลูกเยอะต้องมั่นใจว่าลูกตัวเล็กได้รับนมน้ำเหลืองอย่างเพียงพอ เนื่องจากลูกตัวเล็กต้องการพลังงานเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายมากกว่าปกติ เพราะมีสัดส่วนของผิวหนังต่อน้ำหนักตัวมากกว่า

      ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือลูกสุกรทุกตัวต้องได้นมน้ำเหลืองอย่างเพียงพอและได้รับความอบอุ่นตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังคลอด

      ในระหว่างการคลอด ลูกที่อ่อนแอหรือลูกที่เกินเต้านมแม่ ควรได้รับการช่วยเหลือหรือย้ายไปให้แม่ตัวอื่นเพื่อให้ได้นมน้ำเหลืองที่เพียงพอ และหลังจากคลอดเสร็จต้องดูภาพรวมทั้งหมด ทั้งจำนวนลูกมีชีวิตและจำนวนลูกตัวเล็ก เพื่อที่จะพิจารณาการจัดการเพิ่มเติม อีกทั้งจำนวนเต้านมแม่ที่ใช้งานได้ซึ่งควรจะดูและบันทึกตั้งแต่ก่อนคลอด หรือคะแนนการเลี้ยงลูกของคอกก่อนหน้า เพื่อนำมาประเมินการเลี้ยงลูกของแม่นั้น ๆว่าสามารถเลี้ยงได้มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งการที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าลูกสุกรได้รับนมน้ำเหลืองเพียงพอคือการแบ่งลูกสุกรให้ดูดนมแม่เป็นกลุ่ม ๆ ตั้งแต่ 8 ชั่วโมงหลังคลอดจนเมื่อลูกสุกรพร้อมย้ายไปยังแม่นม เพื่อจำกัดการเข้าถึงนมแม่ในลูกที่ตัวใหญ่หรือลูกที่เกิดลำดับต้น ๆ โดยจัดครึ่งแรกที่เป็นกลุ่มตัวเล็ก 10-12 ตัว กินนมก่อน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง จึงค่อยสลับให้กลุ่มตัวใหญ่มากินนมต่อ นอกจากนั้นอาจย้ายลูกตัวเล็กไปให้แม่ที่มีลูกน้อยแต่ยังมีนมน้ำเหลืองอยู่ (หรือแม่ที่คลอดในวันเดียวกัน) โดยหลังจากผ่านไป 8 ชั่วโมง ลูกสุกรที่ตัวใหญ่ก็จะได้รับนมน้ำเหลืองและภูมิคุ้มกันจากแม่อย่างเพียงพอ และสามารถย้ายไปฝากไปยังแม่นมต่อไปได้

      ในลูกสุกรแรกคลอดอุณภูมิร่างกายจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังคลอด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเพิ่มอุณหภูมิร่างกายภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด โดยการเสริมความอบอุ่นทำได้หลากหลายวิธี เช่น การเสริมไฟกกในกล่องกกหรือพื้นที่ที่ลูกนอน โดยอาจเสริมไฟกกอีกด้านนึงตรงส่วนด้านหลังแม่(ตามรูป) ซึ่งมีการทดลองโดยการเสริมไฟกก 2 ด้านนี้ ในลูกสุกรจำนวน 569 ตัว ที่น้ำหนักน้อยกว่า 900 กรัม และเปิดไฟกกที่อุณหภูมิ 33-34 องศาเซลเซียส(ที่พื้นใต้ไฟกก) เทียบกับกลุ่มควบคุมที่มีอุณหภูมิพื้นที่ 20 องศาเซลเซียส พบว่ากลุ่มที่มีไฟกกช่วยเพิ่มสัดส่วนลูกสุกรที่มีอุณหภูมิร่างกายมากกว่า 37 องศาเซลเซียส จาก 36% เป็น 59% และลดสัดส่วนลูกที่มีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส จาก 25% เหลือเพียง 16%

เราใช้คุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใข้เว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุ้กกี้ได้ที่ นโยบายคุ้กกี้ และ สามารถเลือกตั้งค่ายินยอมการใช้คุ้กกี้ ได้โดยการคลิก การตั้งค่าคุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับคุกกี้ทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่มีความจำเป็น (Necessary Cookies)
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของเว็บไซต์ ได้แก่ คุกกี้ที่ทำให้เว็บไซต์สามารถทำหน้าที่ขั้นพื้นฐานและช่วยให้การทำงานของเว็บไซต์ทำงานได้เป็นปกติ เช่น การเลื่อนสำรวจหน้าเว็บไซต์ หรือทำให้ผู้เข้าชม/ผู้ใช้เว็บไซต์เข้าสู่ระบบและสามารถเข้าถึงส่วนของเว็บไซต์ที่ถูกสงวนไว้ให้ใช้ได้เฉพาะสมาชิกเท่านั้น โดยเว็บไซต์จะไม่สามารถทำงานอย่างถูกต้องได้เลยหากไม่มีการเก็บรวบรวมคุกกี้เหล่านี้ ดังนั้น ท่านไม่สามารถปิดการใช้งานของคุกกี้ประเภทนี้ผ่านระบบของเว็บไซต์ของบริษัทได้ ทั้งนี้คุกกี้ประเภทนี้ไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลซึ่งสามารถระบุตัวตนของท่านได้อย่างเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด

  • คุกกี้เพื่อกำหนดเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    คุกกี้ประเภทนี้อาจถูกติดตั้งโดยพันธมิตรทางการตลาดผ่านทางเว็บไซต์ของเรา โดยจะทำการจัดเก็บข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ของท่านว่า ท่านเข้าชมเว็บไซต์ใดบ้าง และเข้าชมเว็บไซต์ผ่านทางลิงก์ใดบ้าง บริษัทใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับความสนใจของท่านมากขึ้น บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้แก่บุคคลที่สามเพื่อวัตถุประสงค์เหล่านี้ด้วย หากท่านไม่อนุญาตให้ใช้คุกกี้ประเภทนี้ ท่านจะได้รับการโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงน้อยลง

บันทึก